คนร้ายที่มีพฤติการณ์ในการลักลอบโจรกรรมข้อมูลบัตรเอทีเอ็มและบัตรเครดิต มักจะทำงานกันเป็นขบวนการ มีเครือข่ายอยู่ในหลายประเทศทั่วโลก โดยมีทั้งในกลุ่มประเทศเอเชียและยุโรป ซึ่งมีมากที่สุดคือในประเทศมาเลเซีย ทั้งนี้ คนร้ายจะนำเครื่องสกริมเมอร์มาติดตั้งไว้ตามตู้เอทีเอ็มต่างๆ เพื่อดูดข้อมูลจากบัตรแล้วนำข้อมูลนั้นไปปลอมแปลงบัตรใบใหม่ แล้วนำไปใช้ในการกดเงินสด ขณะที่บัตรเครดิตจะมีปัญหามากกว่าบัตรเอทีเอ็ม เพราะนอกจากคนร้ายจะนำไปใช้ในการกดเงินสดแล้วก็จะนำไปใช้รูดซื้อสินค้าด้วย ขณะเดียวกัน ผู้ใช้บริการตู้เอทีเอ็มจะต้องระมัดระวัง ก่อนใช้บริการทุกครั้งจะต้องสังเกตให้รอบคอบว่าตู้เอทีเอ็มที่เลือกใช้มีสิ่งแปลกปลอมหรือไม่ และทุกครั้งที่จะกดระหัสบัตรก็ให้ใช้มือบัง สังเกตให้ดีว่ามีใครจ้องมองดูอยู่หรือไม่ ส่วนกรณีบัตรเครดิตก็ต้องระวังทุกครั้งที่นำไปใช้ต้องสังเกตอย่างใกล้ชิด หากนำบัตรไปใช้รูดซื้อสินค้าก็ต้องสังเกตไม่ให้คลาดสายตา สำหรับการกดรหัสบัตรเอทีเอ็มนั้น ข้อมูลจะมี 2 ชุด อยู่ตรงแถบแม่เหล็ก ดังนั้น ลูกค้าที่ใช้บริการต้องระมัดระวังรหัส 4 ตัว เวลากดบัตรต้องใช้มือซ้ายบังเพื่อป้องกันการแอบดู หรือการแอบดูโดยกล้องวงจรปิด ถ้าเขาไม่รู้รหัสก็ทำอะไรไม่ได้ แต่ถ้าไม่แน่ใจว่ามีคนแอบดูหรือไม่ก็เปลี่ยนรหัสบ่อยๆ ส่วนการใช้กล้องเล็กนั้น มิจฉาชีพจะติดเหนือเครื่องเป็นรูเล็กๆ เท่าปลายเข็ม ถ้าเอามือบังก็จะมองไม่เห็น อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าคนร้ายพัฒนารูปแบบและวิธีการอย่างต่อเนื่อง เพื่อกระทำความผิดให้ได้ทำให้ป้องกันได้ยาก ส่วนวิธีการสังเกตว่าเครื่องเอทีเอ็มเครื่องไหนติดตั้งเครื่องป้องกันการดูดข้อมูลแล้วหรือไม่นั้น ให้สังเกตไฟกะพริบ หากเห็นมีไฟสีเขียวกะพริบตรงช่องเสียบบัตรก็แสดงว่า เครื่องเอทีเอ็มดังกล่าวได้ติดตั้งเครื่องป้องกันไว้แล้ว ทั้งนี้ ผู้ถือบัตรขอให้สบายใจได้ว่า หากถูกโจรกรรมข้อมูลจากบัตรเอทีเอ็มหรือบัตรเครดิตไป ความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมดทางธนาคารจะเป็นผู้รับผิดชอบ ส่วนกลุ่มมิจฉาชีพที่หลอกลวงทางโทรศัพท์ให้ไปกดเงินที่เอทีเอ็ม ซึ่งไม่มีใครสามารถสั่งให้เราทำการใดที่ตู้เอทีเอ็มได้ ธนาคารทุกธนาคารไม่มีนโยบายสั่งการให้ลูกค้าไปทำธุรกรรมใดๆ ที่ตู้เอทีเอ็ม
จาก http://www.easycashservice.com/psc1.html
วันอังคารที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2553
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น